|
หลาย ๆ คนอาจพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเข้าใจได้ยาก พวกเขาเริ่มอ่านด้วยความตั้งใจที่ดีแต่แล้วพออ่านได้ไม่มากเท่าไหร่ก็ต้องหยุดอ่านเพราะพวกเขาไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าพวกเขากำลังอ่านอะไรอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก เพราะว่า 1) พระคัมภีร์เป็นถ้อยคำของพระเจ้าผู้ซึ่งได้สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมารวมถึงทุกสิ่ง ๆ ในจักรวาลด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจมั่นของพระองค์ที่จะให้พวกเราดำเนินชีวิตอยู่กันอย่างไร และ 2) ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นพลังแห่งการช่วยเหลือซึ่งพระองค์นำไปใช้ต่อเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ต้องการจะช่วยเหลือ – ไม่มีใครสามารถได้รับการช่วยเหลือหากผู้นั้นละเว้นไปเสียจากพระวจนะของพระเจ้า
ด้วยพระเมตตาปราณี พระเจ้าได้แสดงให้พวกเราได้เห็นว่าจะสามารถตีความพระคัมภีร์ให้เข้าใจได้อย่างไร เพื่อที่ว่าพวกเราจะได้เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กำลังบอกแก่พวกเรา เราจะลองมาพิสูจน์กันดูว่าพระเจ้าได้บอกอะไรแก่เราบ้างเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจ
สิ่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้นคือถ้อยคำของพระเจ้า :
2 ทิโมธี 3:16 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม
2 เปโตร 1:21 ด้วยว่าคำพยากรณ์ในอดีตนั้นไม่ได้มา จากความประสงค์ของมนุษย์ แต่พวกผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้กล่าวคำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา
1 เธสะโลนิกา 2:13 เพราะเหตุนี้เราจึงขอบพระคุณพระเจ้า ไม่หยุดหย่อน เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อด้วย
วิวรณ์ 22:18 ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุกคนที่ได้ยินคำ พยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้แก่ผู้นั้น
♦ เพราะว่าพระคัมภีร์ไม่เหมือนหนังสืออื่นทั่ว ๆ ไป ( ไม่ได้เขียนขึ้นโดยมนุษย์แต่พระเจ้าเป็นผู้เขียนขึ้นมา ) เราจึงต้องดูที่คำสั่งของพระองค์เพียงหนึ่งเดียวว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจได้อย่างไร พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ของเราเท่านั้น เราไม่สามารถใช้ความคิดที่ไร้สาระและจิตใจที่มีมลทินจากบาปมาเพื่อที่จะพัฒนาทำความเข้าใจ พระคัมภีร์ได้เลย
ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ ทุก ๆ ตัวอักษรของต้นฉบับดั้งเดิมนั้นสมบูรณ์แบบและถูกต้อง :
สุภาษิต 30:5 พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นก็บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นโล่แก่บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์
เพลงสดุดี 12:6 พระดำรัสของพระเยโฮวาห์เป็นพระดำรัสที่บริสุทธิ์ เป็นเหมือนเงินหลอมให้บริสุทธิ์ในเตาไฟบนแผ่นดินแล้วถึงเจ็ดครั้ง
เพลงสดุดี 119:160 ตั้งแต่แรกพระวจนะของพระองค์คือความจริง และคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์
วิวรณ์ 21:5 …และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์จริงและสัตย์ซื่อ"
มัทธิว 5:18 เพราะเราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น
โรม 3:4 ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด…
♦ เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องและเป็นจริง ไม่มีข้อผิดพลาดหรือการโต้แย้งใด ๆ ในพระคัมภีร์ ดังนั้น ถ้าเราพบข้อความตอนใดซึ่งดูเหมือนว่าขัดแย้งต่อกันแล้วล่ะก็ เราสามารถรู้ได้ว่าเรากำลังเข้าใจข้อความนั้นไม่ถูกต้อง บ่อยครั้งที่พระเจ้าใช้ข้อความที่ขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดเพื่อเรียกร้องความสนใจของพวกเราต่อคำสอนที่สำคัญนั้น บังคับให้เราต้องศึกษาอย่างขยันขันแข็งเพิ่มมากขึ้น
พระคัมภีร์เป็นพลังอำนาจของพระเจ้าที่จะนำไปสู่การช่วยให้พ้นบาป :
โรม 1:16 ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายใน เรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วย
โรม 10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า
♦ ไม่มีหนังสือเล่มไหนในจักรวาลนี้ที่มีความสำคัญมากไปกว่า นี้ พระเจ้าจะไม่ช่วยเหลือผู้ซึ่งละเว้นจากอำนาจพระวจนะของพระองค์ นี่คือแก่นแท้ของความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
พวกเราสามารถจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้ถ้าพระเจ้าแห่งดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์เปิดดวงตา ( แห่งจิตวิญญาณ) และ จิตใจของเราเท่านั้น เพื่อให้เราได้เข้าใจในถ้อยคำของพระองค์ :
1 โครินธ์ 2:14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ
โยบ 32:8 แต่มีจิตวิญญาณในมนุษย์ การดลใจจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระทำให้เขาเข้าใจ
ลูกา 24:45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
สดุดี 119:18 ขอเบิกตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระราชบัญญัติของพระองค์
♦ พวกเราต้องศึกษาพระคัมภีร์อย่างอ่อนน้อมและเฝ้าสวดอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าเปิดดวงตาแห่งจิตวิญญาณของเราและยอมให้เราเข้าใจในถ้อยคำของพระองค์
ในพระคัมภีร์มีคำอธิบายไว้ว่าหากเราต้องการที่จะเข้าใจพระคัมภีร์แล้วล่ะก็ เราต้องเปรียบเทียบข้อความจากพระคัมภีร์กับข้อความ ( ของสิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ ) :
1 โครินธ์ 2:13 คือสิ่งเหล่านั้นที่เราได้กล่าวด้วย ถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสั่งสอน ซึ่งเปรียบเทียบ สิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ
ยอห์น 6:63b …จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
2 เปโตร 1:20 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือว่าคำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีใครตีความได้ตามลำพังใจของตนเอง
♦ ตัวพระคัมภีร์นั้นทำหน้าที่เหมือนเป็น “ บันทึกเหตุการณ์ ” และยังเป็น “พจนานุกรม” อีกด้วย ความหมายของคำและวลีต่าง ๆ ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ หรือ การศึกษาวรรณกรรมงานเขียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาของกรีก แต่พระเจ้าเป็นผู้ให้คำจำกัดความเหล่านั้นเอง - เราต้องดูว่าพระองค์ใช้ถ้อยคำเหล่านั้นอย่างไรตรงไหนบ้างในพระคัมภีร์
♦ เพราะว่าพระคัมภีร์นั้นถูกเขียนขึ้นโดยผู้เขียนเพียงผู้เดียว นั่นก็คือพระเจ้า เราสามารถเปรียบเทียบคำและวลีจากส่วนใดส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์กับอีกส่วนอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ได้อย่างมั่นใจ พระเจ้าบอกให้เราเปรียบเทียบข้อความจากพระคัมภีร์กับข้อความ ( ของสิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ ) พระองค์ไม่ได้บอกให้เราเปรียบเทียบประวัติศาสตร์กับประวัติศาสตร์ หรือหลักภาษากับหลักภาษา เหมือนกับนักเหล่าบรรดานักเทววิทยาสอนให้เปรียบเทียบกันอยู่ทุกวันนี้
แม้แต่เด็กก็สามารถที่จะเข้าใจในพระคัมภีร์ได้ เพียงพอที่จะได้รับการช่วยให้พ้นบาป ถ้าพระเจ้าประทานความเข้าใจมาให้ :
2 ทิโมธี 3:15 และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
แต่ความจริงที่สำคัญ (และน่าประหลาดใจยิ่ง) ก็คือว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่สามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ - ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการสอนของพระเยซูในขณะที่พระองค์เสด็จดำเนินและสั่งสอนอยู่บนโลก :
สุภาษิต 25:2 สง่าราศีของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆไว้ แต่ศักดิ์ศรีของกษัตริย์คือการค้นสิ่งต่างๆให้ปรากฏ
เพลงสดุดี 78:2-3 ข้าพเจ้าจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา ข้าพเจ้าจะกล่าวคำลึกลับของโบราณกาล ถึงสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยินได้ทราบ ที่บรรพบุรุษของเราได้บอกเรา
(การ “อุปมา” นี้เป็นประวัติศาสตร์ทั้งหมดของชนชาติอิสราเอล ซึ่งเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์หรือลักษณะของคำสอนของพระเจ้า )
2 เปโตร 3:16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ
ตัวอย่างอื่นต่อไป - พระเยซูตรัสเป็นเชิงอุปมาเกือบทั้งหมดต่อสาธารณะชนทั่วไป
มาระโก 4:33-34 พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนพระวจนะให้แก่เขาเป็นคำอุปมาอย่างนั้นเป็นหลายประการ ตามที่เขาจะสามารถฟังได้ และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสแก่เขาเลย แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพัง พระองค์จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่เหล่าสาวก
ลูกา 8:10 พระองค์จึงตรัสว่า " ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ
♦ มีข้อความมากมายในพระคัมภีร์ที่มีความหมายแห่งจิตวิญญาณ ที่ถูกเขียนขึ้นในเชิงอุปมาเปรียบเทียบและมีคติแฝงอยู่
ในตัวเล่มของพระคัมภีร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเต็มไปด้วยข้อความของพระเยซู คำสอนของการช่วยให้พ้นบาป และเรื่องราวจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอีกเป็นจำนวนมากที่แท้จริงแล้วเป็นการเปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ให้เราเข้าหาพระคริสต์
กิจการ 3:18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของ พระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
กิจการ 3:24 และบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันพยากรณ์ถึงกาลครั้งนี้
ยอห์น 5:39 จงค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในพระคัมภีร์นั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานถึงเรา
ฮีบรู 10:7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระองค์มาแล้ว โอ พระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์" (ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์ )'
ลูกา 24:25-27 พระองค์ตรัสแก่สองคนนั้นว่า "โอ คนเขลา และมีใจเฉื่อยในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในสง่าราศีของพระองค์มิใช่หรือ" พระองค์จึงทรงเริ่มอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อ ให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาศาสดาพยากรณ์
♦ ในขณะที่เราศึกษาพระคัมภีร์ เราควรมองหาคำสอนของพระคริสต์ในทุก ๆ ที่ ที่เราอ่าน เมื่อเราเริ่มต้นเข้าใจในพระคริสต์ เราก็จะสามารถเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของข้อความได้
ภายใต้ข้อความที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่มีการอุปมาเปรียบเทียบ แฝงไว้ซึ่งคติ มีความหมายแห่งจิตวิญญาณซ่อนอยู่ลึก ๆ ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นคำกล่าวตามช่วงลำดับเวลาอย่างง่าย ๆ และมีศีลธรรม ซึ่งทุก ๆ คำกล่าวใน พระคัมภีร์นั้นเป็นความจริงที่สุด แต่ เราสามารถเรียนรู้มากขึ้นได้โดยการดูที่ข้อความแห่งจิตวิญญาณเชิงสัญลักษณ์ของ คำกล่าวเหล่านี้ พระเยซูจำเป็นต้องประณามผู้ติดตามพระองค์ และพวกมือถือสากปากถือศีลในความพยายามที่จะเข้าใจคำพูดของพระองค์ตามตัวอักษรในขณะที่สิ่งที่พระองค์ต้องการหมายถึงนั้นเป็นเชิงสัญลักษณ์ ( ซึ่งมีความหมายแห่งจิตวิญญาณที่ลึกมากกว่านั้น ) นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย :
มัทธิว 16:6-8 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี" เหล่าสาวกจึงปรึกษากันว่า "เพราะเหตุที่เรามิได้เอาขนมปังมา" ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า "โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่ได้เอาขนมปังมา
ยอห์น 4:11,13 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิตนั้นมาจากไหน พระเยซูตรัสตอบนางว่า "ผู้ใดที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก
ยอห์น 3:4, 10 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ
ยอห์น 11:11-13 พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า "ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น" พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็จะสบายดี" แต่พระเยซูตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน
ยอห์น 6:51-53, 60-61,66 เราเป็นอาหาร ที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเนื้อของเรา"แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า "ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร" พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน...เหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า " ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้" เมื่อพระเยซูทรงทราบเองว่าเหล่าสาวกของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ...ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอยไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป
ลูกา 24:45-46 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม
พระเยซูตรัสไว้ที่นี่ว่าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเขียนบอกว่าพระคริสต์จำเป็นต้องถูกฆ่าให้ตายและถูกทำให้ฟื้นกลับมามีชีวิตในวันที่สาม อย่างไรก็ตาม ข้อความนี้ยังไม่มีเขียนไว้ที่ใดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมแน่ชัด – มีเพียงการระบุเป็นคติสอนไว้เท่านั้น ใน โยนาห์ 1:17
“ และพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดให้ปลามหึมาตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์ก็อยู่ในท้องปลานั้นสามวันสามคืน ”
พระคริสต์ชี้ให้เห็นคำกล่าวในพระคัมภีร์เดิมที่แสดงให้เห็นว่ามีการบรรยายเชิงเปรียบเทียบถึงการกลับมามีชีวิตใหม่ของพระองค์ใน มัทธิว 12:40 ดังนั้นพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าความเข้าใจเรื่องของโยนาห์อย่างถูกต้องนั้น เราต้อง เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังบอกพวกเราอยู่นั้นเกี่ยวกับการกลับมามีชีวิตใหม่ของพระคริสต์
ลูกา 17:12,14-17 17 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนเป็นโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ยืนอยู่แต่ไกล เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงตรัสแก่เขาว่า "จงไปแสดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด"ต่อมาเมื่อกำลังเดินไปเขาทั้งหลายก็หายสะอาด ฝ่ายคนหนึ่งในพวกนั้น เมื่อเห็นว่าตัวหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง และกราบลงที่พระบาทของพระองค์ขอบพระคุณพระองค์คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า "มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน
ในคำอธิบายนี้เราเห็นตัวบ่งชี้หนึ่งที่ชัดเจนมากที่สุดแห่งการที่จะต้องเข้าใจในแง่แห่งจิตวิญญาณของพระคัมภีร์ ในตอนที่พระคริสต์สั่งให้ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนสิบคนเปิดเผยตนเองต่อนักบวชตามคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมบัญญัติไว้ นี่เป็นการอ้างอิงบทบัญญัติอย่างเป็นทางการ ใน เลวีนิติ 14:2 ที่กล่าวไว้ว่า
“ต่อไปนี้จะเป็นพระราชบัญญัติเรื่องคนเป็นโรคเรื้อนในวันชำระตัวของเขา ให้พาเขามาหาปุโรหิต”
พระเจ้าแสดงให้เราเห็นในการตอบสนองของพระองค์ต่อหนึ่งในผู้เป็นโรคเรื้อนนั้นว่าคำสั่งนี้ซึ่งจริง ๆ แล้วเข้าใจได้ในเชิงแห่งจิตวิญญาณ และยังชี้ให้เห็นถึงการมาเยือนของ มหาปุโรหิต (ฮีบรู 4:14) เมื่อเราได้รับการช่วยเหลือ พระเจ้าได้กล่าวประณามคนที่เป็นโรคเรื้อนทั้งเก้าคนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติตามตัวอักษรของพระเจ้าในขณะที่ต่างก็นิ่งเฉยต่อความตั้งใจ แห่งจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ของพระองค์ที่จะเปิดเผยตัวของพวกเขาเองต่อพระคริสต์ พระมหาปุรหิตและเพื่อกล่าวคำขอบคุณ
พระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งจิตวิญญาณ และไม่ใช่หนังสือที่ใช้อ่านเป็นเพียงแค่สอนศีลธรรม หรือ ประวัติศาสตร์ หรือ บทกวี หรือ ความรอบรู้ จุดประสงค์คือความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ – นั่นก็คือ การช่วยให้พ้นจากบาป
ยอห์น 6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
โรม 7:14 เพราะเรารู้ว่าพระราชบัญญัตินั้นเป็นโดยฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เนื้อหนังถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป
ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าคำสั่งสอนที่สำคัญของพระเจ้า เกี่ยวกับว่าเราจะศึกษาและเข้าใจพระคัมภีร์ได้อย่างไร :
จงสวดมนตร์ก่อนศึกษาพระคัมภีร์เสมอ เพราะว่ามีเพียงพระเจ้าจิตวิญญาณที่ศักดิ์เท่านั้นผู้ซึ่งสามารถเปิดดวงตาของเราและประทานความเข้าใจในถ้อยคำของพระองค์ท่านให้แก่เรา
จงรู้ว่าทุก ๆ ถ้อยคำในพระคัมภีร์นั้นพระเจ้าเป็นผู้เขียนขึ้นมาและเป็นความจริงทั้งสิ้น ดังนั้น ทุก ๆ คำกล่าวจะมีความสอดคล้องกัน ถ้ามีข้อความใดขัดแย้ง แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจข้อความนั้นอย่างถูกต้อง
เราเปรียบเทียบข้อความจากพระคัมภีร์เข้าด้วยกัน พระคัมภีร์นั้นเป็นพจนานุกรมและให้คำจำกัดความในตัวเองเสร็จ นี่ก็หมายความว่าขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์ เราควรที่จะจดบันทึกเมื่อเราเห็นข้อความหรือข้อคิดซึ่งดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับข้อความอื่น ๆ ที่เราได้อ่านผ่านมาแล้ว ศึกษาคำกล่าวเหล่านั้นเข้าด้วยกันก็จะช่วยให้เราได้เข้าใจดียิ่งขึ้น เพราะว่าแต่ละข้อความจะให้เบาะแสที่แตกต่างกันซึ่งนำไปสู่ความหมายโดยรวม อีกวิธีการหนึ่งก็คืออย่าค้นหาความหมายคำในพระคัมภีร์จากพจนานุกรมของชาวกรีกหรือฮิบรู แต่เรากลับต้องค้นหาดูว่ามีคำของฮิบรูหรือกรีกถูกเขียนไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งในพระคัมภีร์โดยพระเจ้าแทน มีเครื่องมือยอดเยี่ยมที่จะช่วยเราในภาระงานนี้ – เช่น Strong’s Exhaustive Concordance (ความสอดคล้องของการหมดอำนาจ ) หรือ Young’s Analytical Concordance (ความสอดคล้องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ในช่วงเริ่มต้น) และซอฟแวร์สืบค้นพระคัมภีร์ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งสามารถขอรับ แผ่นซีดี EBF1 ได้ฟรีที่เว็บไซต์ของเรา ที่ : www.ebiblefellowship.com/free_cd. สามารถดาวน์โหลดซอฟแวร์พระคัมภีร์ซึ่งแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ได้ฟรีที่ เมนูช่วยเหลือ ( Help Menu) เครื่องมือนี้สามารถช่วยให้เราค้นหาคำกล่าวทั้งหมดที่ซึ่งใช้ภาษากรีกหรือฮิบรูโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องการให้เราได้เรียนรู้จากภาษาดั้งเดิม
พระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นภาคพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่ ถูกบรรจงเขียนด้วยคำสอนของพระเจ้าเกี่ยวกับการช่วยให้พ้นบาป โดยชี้ให้เห็นถึงความต้องการของคนชั่วช้าเพื่อขอให้ตนเองรอดพ้นจากบาปเมื่อวันพิพากษามาถึง การเสียสละเพื่อไถ่บาปของพระคริสต์บนไม้กางเขน ความจริงที่ว่าก็คือการช่วยให้พ้นบาปนี้เป็นหน้าที่ของพระเจ้าทั้งหมด หรือ เป็นความเกี่ยวพันกับความจริงแห่งจิตวิญญาณ ความหมายเชิงเปรียบเทียบหรือสัญลักษณ์ใดที่สำคัญที่สุดต้องชี้ไปที่พระคริสต์ และคำสอนของพระองค์ และต้องสอดคล้องกับทุก ๆ สิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
การอุปมาอุปไมย และ การแฝงไว้ซึ่งข้อคิดต่าง ๆ ต้องไม่มีการบีบอัดไว้มากจนเกินไป... สัญลักษณ์และภาพสะท้อนของความจริงที่จะช่วยชี้ให้เราเข้าใจ ซึ่งบางครั้งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับทุก ๆ แง่มุมของความจริงที่มีแฝงไว้อยู่ นี่ก็หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นสอนได้แค่บางแง่มุมของเนื้อหาสาระสำคัญที่สิ่งเหล่านั้นจะชี้ให้เห็นได้ แต่บางทีคุณลักษณะที่บอกไว้เป็นนัย ๆ หรือไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้ ซึ่งนี่เองทำให้เกิดมีข้อที่ 2 ขี้นมา เพื่อให้แน่ใจได้ว่าข้อสรุปต่าง ๆ ในหัวข้อนั้น ๆ จะต้องสอดคล้องกับทุกสิ่งทุกอย่างในพระคัมภีร์
ยังคงมีหน้าพระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดให้เราได้อ่าน เราต้องอ่อนน้อมเพียงพอที่จะยอมรับว่า เพราะว่าบัดนี้เรา “ เห็นสลัวๆเหมือนดูใน กระจก” แต่เวลานั้นจะได้เห็นหน้ากันชัดเจน “เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แต่ส่วนหนึ่ง” แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนได้รู้จักข้าพเจ้าแล้วด้วย (1 โครินธ์ 13:12)
เพลงสดุดี 119:97 โอ ข้าพระองค์รักพระราชบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำรำพึงของข้าพระองค์วันยังค่ำ
ท่านสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับเราผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือดาวน์โหลดพระคัมภีร์และเอกสารแผ่นพับได้ฟรี– ที่
รับฟังรายการสดผ่านทางอินเตอร์เน็ต “ Internet Broadcast” ได้ที่เว็บไซต์ของเรา หรือ ปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อเข้าไป พูดคุยฟรีผ่านทางระบบ Free Paltalk นอกจากนั้นท่านยังสามารถโทรมาหาเราได้ที่เบอร์ 1-877-897-6222 (เฉพาะสหรัฐอเมริกาเท่านั้น)
หากท่านมีข้อสงสัยประการใด ท่านสามารถฝากข้อความ คำถาม หรือข้อคิดเห็นต่าง ๆ ได้ที่
www.ebiblefellowship.com/contactus
หรือจะเขียนส่งเป็นจดหมายโดยจ่าหน้าซองถึง
EBible Fellowship, P.O. Box 1393, Sharon Hill, PA 19079 USA
UTB.12.19.06.Thai