Printer-Friendly PDF Version
US Legal (8.5 x 14)
.pdf
Download Adobe Acrobat Reader

 

พระคัมภีร์เปิดเผย

ให้เราสามารถล่วงรู้ได้ว่า

วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2011

เป็นวันพิพากษา!


ครั้นพอได้ยินข้อมูลที่ว่าวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เป็นวันแห่งการพิพากษาหรือสิ้นโลก ชาวศาสนจักรทั้งหลายเป็นต้องเอ่ยถึงคำสอนในพระคัมภีร์ทันทีทันใด เช่นว่า :

มัทธิว 24:36 แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว

“คุณเห็นไหมล่ะ” พวกเขาพูดหลังจากได้อ้างคำสอนในพระคัมภีร์นี้แล้ว “พระคัมภีร์บอกเราว่าไม่มีใครรู้” พวกเขาอาจเพิ่มเติมไปอีกว่า “ แม้แต่พระเยซูเองก็ไม่รู้เวลา ดังนั้น วันที่ 21 พฤษภาคมของคุณนั้นล้วนแล้วแต่ผิดทั้งหมด ” เนื่องมาจากว่าบ่อยครั้งในกรณีที่หลังจากมีการบอกกล่าวอย่างรวดเร็วและมองข้ามข้อมูลเกี่ยวกับวันที่ของการสิ้นสุดโลก แต่ละคนก็ต่างบอกเล่าเนื้อหาด้วยวิธีของตนเองว่าสิ่งนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น “หลังจากนั้นทั้งหมด” พวกเขาคิด “พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพวกเราไม่สามารถรู้ช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้ายได้”

แน่นอน พวกเราทราบดีว่าพระคัมภีร์มีคำสอนนี้อยู่ในนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คำถามมีอยู่ว่า แล้วคำสอนที่เหลือในพระคัมภีร์นั้นสนับสนุนความคิดที่ว่าพวกเราไม่สามารถรู้เวลาแห่งวาระสุดท้ายของโลกหรือไม่? หรือ มีข้อมูลอื่นอีกหรือไม่ในพระคัมภีร์ที่อนุญาตให้ผู้คนของพระเจ้าได้เรียนรู้วันที่แห่งวาระสุดท้ายของโลก?

อันดับแรก พวกเราจำเป็นต้องเอ่ยก่อนเลยว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และเนื่องจากพระองค์เป็นผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงไม่สามารถมีคำถามได้ว่าพระองค์ทรงทราบว่าเมื่อไรที่วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึง

โยบ 24:1 …เมื่อวาระกำหนดไม่ปิดบังไว้จากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…

จุดประสงค์ของแผ่นพับนี้เพื่อแสดงให้เห็นจากพระคัมภีร์ว่าเนื่องจากพวกเราเข้าใกล้วันสุดท้ายของประวัติศาสตร์ของโลก (และมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ) แผนการของพระเจ้าในการเปิดเผยข้อมูลจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับวาระสุดท้ายของโลก รวมถึงเวลาที่แน่นอนนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น เราเห็นความคิดนี้ได้จากข้อความต่อไปนี้ในพระคัมภีร์ที่ว่า :

ดาเนียล 12:4 แต่ตัวเจ้า โอ ดาเนียลเอ๋ย จงปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้ และประทับตราหนังสือนั้นเสีย จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น

จากข้อความนี้ พระเจ้าได้ปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้นเสีย (พระคัมภีร์) จนถึงวาระสุดท้าย เพราะว่าข้อมูลในพระคัมภีร์ได้ถูกประทับตราปิดผนึกไว้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถรู้เวลาแห่งวาระสุดท้ายของโลกได้ แต่ความหมายที่ชัดเจนใน ดาเนียล 12:4 ที่ว่าตราประทับถูกเปิดออกเมื่อช่วงเวลาของวาระสุดท้ายมาถึง ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เมื่อถึงวาระสุดท้าย “ความรู้จะทวีขึ้น” มัทธิว 24:36 ยืนยันไว้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ “รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว” พระเจ้ามักจะรู้ช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้ายของโลกเสมอ เพราะพระองค์นั่นเองคือผู้เขียนพระคัมภีร์ มันจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพระองค์ในการใส่ข้อมูลนี้และซ่อนเอาไว้ในพระคัมภีร์อย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งจุดที่เหมาะสมในประวัติศาสตร์มาถึง เนื่องจากว่าพวกเราได้มาถึงวาระสุดท้ายของโลกแล้วในขณะนี้ พระเจ้ากำลังเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ให้กับคนของพระองค์ได้รับรู้

ทำไมเหล่าศาสนจักรทั้งหลายไม่เข้าใจ

ถ้าคุณพูดคุยกับบาทหลวงเกี่ยวกับวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ว่าเป็นวันพิพากษา ค่อนข้างแน่นอนว่าบาทหลวงจะคัดค้านกับความจริงนี้เป็นแน่ น่าประหลาดใจที่เหล่าศาสนจักรต่างเห็นพ้องต้องกันในการที่จะประกาศว่า “ไม่มีใครรู้วันหรือชั่วโมง” อย่างไรก็ตามไม่มีใครสะดวกใจกับจุดยืนหนึ่งเดียวของพวกเขาเพราะว่า ไร้ซึ่งคำถาม เหล่าศาสนจักรในยุคสมัยใหม่ของเราได้ตีตัวออกห่างจากความจริง ศาสนจักรทางโลกไม่เห็นด้วยและสอนสิ่งที่ตรงกันข้ามจากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งหนึ่งในหลาย ๆ ประเด็นของคำสอนในพระคัมภีร์ (ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องมีข้อผิดพลาดในการหาข้อสรุป) ดังนั้นมันอาจจะไม่สะดวกใจอย่างยิ่งสำหรับเหล่าศาสนาจักรในการที่จะหลอมรวมความเห็นพ้องต้องกันในประเด็นที่ว่า “ไม่มีใครรู้วันหรือชั่วโมง” ในทางตรงกันข้าม มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราตระหนักรู้ว่าคำพิพากษาของพระเจ้าในยุคเรานั้นมันคือเวลาของศาสนจักรทางโลกเนื่องมาจากความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาเอง:

1.เปโตร 4:17 ด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะต้องเริ่มตั้งต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า…

ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็คือว่าพระเจ้าเองได้ละทิ้งศาสนจักรทางโลก พระคัมภีร์สอนพวกเราว่ายุคศาสนจักรได้สิ้นสุดลง (จบสิ้นลงใน ค.ศ. 1988) พระเจ้าได้ทิ้งศาสนาจักรอยู่ในความมืดมิดแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาไม่สามารถรับรู้และมองเห็นถึงความจริงที่น่ากลัวที่ว่าขณะนี้พวกเราอยู่ใกล้วาระสุดท้ายของโลกมาก ๆ พระเจ้าอธิบายถึงผู้นำแห่งจิตวิญญาณของศาสนจักรทุกวันนี้ไว้อย่างชัดเจนใน :

อิสยาห์ 56:10-11 ยามของเขาตาบอด เขาทั้งปวงไร้ความรู้ เขาทั้งปวงเป็นสุนัขใบ้ เขาเห่าไม่ได้… เขาเป็นผู้เลี้ยงแกะที่เข้าใจไม่ได้…

พระเจ้าเองได้ระบุว่าผู้คนจำนวนมากที่ปฏิญาณตนเป็นคนของพระองค์จะไม่เห็นสัญญาณเตือนของวาระสุดท้ายที่กำลังมาถึง พระองค์ใช้พระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม อิสราเอล/ยูดาห์ เป็นรูปแบบและส่วนสำคัญของการชุมนุมกันในโบสถ์ของศาสนิกชนและเหล่าศาสนจักร พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่

พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าเคยไม่พอพระทัยกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ยูดาห์และได้เตือนพวกเขาล่วงหน้าในความตั้งใจของพระองค์ที่จะพิพากษาพวกเขาเหล่านั้น แต่ยูดาห์มองข้ามและละเลยต่อคำเตือนเหล่านั้นจนกระทั่งพวกเขาได้ถูกทำลายล้าง - ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ศาสนจักรในยุคนี้กำลังทำอยู่เป็นอย่างมาก :

เยเรมีย์ 8:7 แม้ว่านกกระสาดำบนฟ้ายังรู้จักเวลากำหนดของมัน และนกเขา นกนางแอ่น และนกกรอด ได้รักษาเวลามาของมัน แต่ประชาชนของเราไม่รู้จักคำตัดสินของพระเยโฮวาห์

วาระสุดท้ายในขณะนี้ ศาสนจักร พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ยังคงกล่าวย้ำข้อผิดพลาดเดิม ๆ ที่ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม อิสราเอลได้ทำผิดไว้ พวกเขาได้มองข้ามสัญญาณเตือนแห่งเหตุร้ายของพระเจ้า(จากพระคัมภีร์) เช่นเดียวกันกับที่ชาวอิสราเอลได้เมินเฉยต่อคำเตือนของพระเจ้าผ่านทางเหล่าผู้พยากรณ์ซึ่งพระองค์ได้ส่งพวกเขามา

พระเจ้ามักจะเตือนคนของพระองค์ล่วงหน้าเสมอ

ในขณะนี้เป็นเวลาที่พวกเราต้องมองดูข้อมูลอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ซึ่งที่โบสถ์หรือบาทหลวงเองอาจจะไม่ต้องการให้คุณคำนึงถึง แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเราสามารถล่วงรู้เวลาแห่งวาระสุดท้ายได้ พวกเราต้องมาดูกันก่อนว่าในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์นั้นจำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับสิ่งนี้ด้วย เช่น พระเจ้าได้กล่าวถึงสิ่งนี้ในอาโมส บทที่ 3 :

อาโมส 3:7 แท้จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะมิได้ทรงกระทำอะไรเลย โดยมิได้ เปิดเผยความลึกลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือผู้พยากรณ์

พูดอย่างมั่นใจได้เลยว่า นักพยากรณ์จะเป็นใครก็ได้ผู้ซึ่งประกาศพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นผู้เชื่อแต่ละคนสามารถสวมบทบาทเป็นนักพยากรณ์ได้ในขณะที่แบ่งปันคำสอนของพระเจ้าให้แก่คนอื่น ๆ พระเจ้ากำลังบอกพวกเราใน อาโมส 3:7 ว่าพระองค์ทรงเปิดเผยข้อมูลแก่คนของพระองค์ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะ “ไม่ทำอะไรเลย” จริง ๆ หากปราศจากการเปิดเผย “ความลับของพระองค์ต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์” ก่อน ในขณะที่พวกเราพิจารณาประวัติศาสตร์แห่งพระคัมภีร์ พวกเรารู้ถึงความจริงที่สำคัญนี้ได้จริง ๆ จากหลักฐานที่มีครั้งแล้วครั้งเล่า เราลองมาดูเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์ :

ปฐมกาล 6:3,5,7 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า… อายุของเขาจะเพียงแค่ร้อยยี่สิบปี… และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของ มนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียว เสมอไป… พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "เราจะทำลายมนุษย์…

จากคำอธิบายนี้ เราพบว่าพระเจ้าให้โลกนี้มีอายุ 120 ปีก่อนที่พระองค์จะทำลายมัน เวลานี้เป็นเวลาจำเป็นที่พระองค์ทรงเลือกให้โนอาห์สร้างเรือโนอาห์ขึ้นและทำภารกิจแห่งการเตือนโลกในช่วงระหว่าง 120 ปีนั้นให้สำเร็จ พระคัมภีร์ระบุไว้ว่าโนอาห์เป็น “ผู้ประกาศความชอบธรรม” (2 เปโตร 2:5) งานที่เขาทำคือสร้างเรือในตลอดเวลาหลายปีที่ยาวนานแน่นอนว่าไม่ใช่ไม่ถูกสังเกตเห็น การสร้างเรือโนอาห์เป็นหลักฐานแห่งความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า การเกิดมีและพัฒนาการของเรือโนอาห์ถือได้ว่าเป็นการตัดสินโลกเองอย่างต่อเนื่องด้วย :

ฮีบรู 11:7 โดยความเชื่อ เมื่อพระเจ้าทรงเตือนโนอาห์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านมีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวา เพื่อช่วยครอบครัวของท่านให้รอด และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ปรับโทษแก่โลก และได้เป็นทายาท…แห่งความชอบธรรม…

เมื่อครั้งในปีที่ 120 (4,990 ปีก่อนพุทธศักราช) ที่พระเจ้าได้ทรงให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่โนอาห์อีกครั้งเกี่ยวกับกำหนดเวลาของน้ำท่วมโลก จะมีก็เพียงเวลานี้เท่านั้น ที่พระเจ้าได้ให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง ไม่น่าเชื่อที่เหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งก่อนนั้น พระองค์ทรงได้เคยตรัสแก่โนอาห์ถึงวันเดือนปีที่แม่นยำของเหตุการณ์น้ำท่วมที่กำลังมาถึง :

ปฐมกาล 7:1,4,10-11 และพระเยโฮวาห์ตรัสแก่โนอาห์ว่า… เพราะว่าอีกเจ็ดวันเราจะบันดาลให้ฝนตก บนแผ่นดินโลกสี่สิบวันสี่สิบคืนและอีกเจ็ดวันน้ำก็ท่วมบนแผ่นดินโลก… เมื่อโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น

ไม่ใช่เหตุการณ์บังเอิญที่ในปัจจุบัน ผู้คนของพระเจ้ารู้ว่าจุดจบจะมาถึงในปี ค.ศ. 2011 ( 7,000 ปีพอดิบพอดีหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก) ในเดือนพฤษภาคม และเป็นวันที่ 21 เหตุการณ์คู่ขนานนี้เหมือนเมื่อคราวที่พระเจ้าได้เคยตรัสแก่โนอาห์ คงจำกันได้ว่าวันที่ 21 พฤษภาคมในปี ค.ศ. 2011 คือวันที่ 17 ของเดือนที่ 2 ของปฏิทินชาวฮิบรู ซึ่งตรงกับวันที่น้ำเริ่มท่วมและวันที่พระเจ้าปิดประตูเรือที่โนอาห์และครอบครัวให้อยู่ในนั้น อีกทั้งพวกเราควรจำไว้ว่าพระเยซูกล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกซึ่งเป็นตัวอย่างของการมาเยือนของพระองค์ :

มัทธิว 24:38-39 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา… และน้ำท่วมได้มากวาดเอาพวกเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้นด้วย

การมาเยือนของพระคริสต์นั้นอยู่ในสมัยของโนอาห์ คำถามที่ใครก็ตามที่ค้นหาความจริงด้วยความจริงใจต้องถามในขณะนี้ ก็คือ : มีใครเคยรู้อะไรบ้างหรือไม่เกี่ยวกับน้ำท่วมโลกที่ใกล้เข้ามาทุกทีก่อนที่มันได้เกิดขึ้น? หรือไม่มีใครรู้วันหรือช่วงเวลาของน้ำท่วมเลยใช่หรือไม่? คำตอบของพระคัมภีร์ก็คือ “มี คนของพระเจ้ารู้” โนอาห์รู้ ภรรยาของโนอาห์รู้ ลูกชายของโนอาห์ทั้งสามคนและภรรยาของพวกเขาต่างก็รู้ โลกรอบตัวพวกเขาต่างก็รู้เกี่ยวกับน้ำท่วมนี้เพราะโนอาห์คือผู้ประกาศ อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาบรรยายโนอาห์ไว้ว่าเป็นคนบ้าวิกลจริต ซึ่งส่งผลทำให้พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดถูกน้ำท่วมตาย ประเด็นสำคัญที่พระคัมภีร์ทำก็คือให้ผู้คนทุกหมู่เหล่าได้ยินได้ฟังคำเตือนที่พระเจ้าได้ส่งมาให้ แต่มีเพียงผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วเท่านั้นที่จะสนองตอบและลงมือปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ให้คำนึงถึงความตายที่น่ากลัวจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจดจำคำสอนนี้ไว้ :

2 เปโตร 2:5 และไม่ได้ทรงยกเว้นมนุษย์โลกครั้ง โบราณ แต่ได้ทรงช่วยโนอาห์ผู้ประกาศความชอบธรรมกับคนอื่นอีกเจ็ดคนให้รอด เมื่อคราวที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม ;

พระเจ้าให้ความสำคัญกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์ที่เคยทำลายเหล่าคนอธรรมทั้งหมด นี้เป็นความจริงที่สำคัญอย่างยิ่ง ผู้คนทั้งหมดของพระองค์ (ที่ได้รับการช่วยหลือ) ต่างก็ได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมโลกและการช่วยให้รอดพ้นจากความตาย ผู้มีความชอบธรรมต่างก็รู้ว่ามันกำลังจะมาถึงและพวกเขาสามารถเข้าไปสู่เรือพร้อมกันกับโนอาห์ พวกเราสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าเคยทรงเตือนผู้คนอื่นที่เหลือบนโลกในสมัยของโนอาห์แล้วเช่นกัน แต่พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่โนอาห์เคยประกาศบอก พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเรารู้หลักแห่งพระคัมภีร์ที่เขียนบอกไว้ใน อาโมส 3:7 ในการพิจารณา พระเจ้าได้ทรงเตือนคนของพระองค์ล่วงหน้า คนอื่น ๆ ที่เหลือก็ได้ยินแต่ท้ายที่สุดแล้วก็เมินเฉยต่อคำเตือนของพระองค์ ซึ่งเกิดผลลัพธ์ที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นคาดไม่ถึงและต้องเสียชีวิต นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระคริสต์จะมาเยือนเหมือน “ขโมยในเวลากลางคืน”

ความจริงที่ว่าพระเจ้าได้เตือนโนอาห์และครอบครัวล่วงหน้า ด้วยความจริงนี้เองควรเป็นเหตุให้พวกเราได้หยุดคิดและตระหนักรู้ว่าในทำนองเดียวกันนั้นพระองค์จะเปิดเผยช่วงเวลาวาระสุดท้ายก่อนที่วันพิพากษามาถึง อย่างไรก็ตาม มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับภารกิจของพระเจ้าในประวัติศาสตร์แห่งพระคัมภีร์

เราลองมาดูความพินาศของโสโดมและกอมเมอร์ราห์ ก่อนที่เมืองเหล่านี้จะถูกทำลาย พระเจ้าได้เคยมาเยือนอับราฮัมและเปิดเผยแผนการของพระองค์ในวันสิ้นโลกให้แก่เมืองเหล่านี้ได้รับรู้ เราลองอ่านนัยสำคัญนี้ :

ปฐมกาล 18:16-17 …บุรุษเหล่านั้น…มองไปทางเมืองโสโดม… พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเรากระทำจากอับราฮัมหรือ"

พระเจ้าไม่เคยปิดบังแผนการในการทำลายเมืองโสโดมแก่อับราฮัม พระเจ้าคิดว่าเป็นการดีในการที่แบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับผู้รับใช้พระองค์ ครั้นเมื่ออับราฮัมได้รับการบอกเล่า เขาก็เริ่มขอร้องให้คนอื่น (สวดภาวนา) เพื่อความชอบธรรมภายในเมือง โลท หลานชายของอับราฮัม อาศัยอยู่ในเมืองโสโดม พระคัมภีร์บอกให้เรารู้ว่าโลทเป็นผู้ที่มีความชอบธรรม (และนั่นเอง พระเจ้าช่วยเหลือเขาและทำให้เขาเป็นผู้มีความชอบธรรมต่อพระคริสต์ – ดู 2 เปโตร 2:7-8)

พระเจ้าไม่สามารถทำลายความชอบธรรมด้วยความโหดร้าย ดังนั้นเพราะเจ้าจำเป็นต้องกระทำ โดยได้ทรงเตือนโลทถึงวันพิพากษาที่กำลังมาถึง :

ปฐมกาล 19:12-13 ทูตเหล่านั้นจึงพูดกับโลทว่า "ที่นี่มีใครอีกไหม จงพาบุตรเขย บุตรชาย บุตรสาว และสิ่งใดๆของเจ้าที่อยู่ในเมืองนี้ออกจากที่นี่ เพราะพวกเราจะทำลายสถานที่แห่งนี้… พระเยโฮวาห์ทรงส่งพวกเรามาทำลายมันเสีย"

โลทและสมาชิกในครอบครัวของเขาอีกสองสามคนสามารถหลบหนีออกจากการล่มสลายของเมืองโสโดมและกอมเมอร์ราห์ได้เพียงเพราะพระเจ้าได้เตือนพวกเขาล่วงหน้าด้วยพระองค์เอง คำเตือนที่โลทพยายามบอกต่อแก่เหล่าลูกเขยของเขาแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ใส่ใจอย่างจริงจัง (ปฐมกาล 19:14) พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาอีกด้วยว่าพระเยซูตรัสว่าการจะมาเยือนของพระองค์นั้นอยู่ในสมัยของโลทด้วยเช่นกัน :

ลูกา 17:28-30 ในสมัยของโลทก็เหมือนกัน เขาได้กินดื่ม ซื้อขาย หว่านปลูก ก่อสร้าง แต่ในวันนั้นที่โลทออกไปจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากฟ้ามาเผาผลาญเขาเสียทั้งสิ้น ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็เป็นเหมือนอย่างนั้น

ความจริงก็คือว่าในสมัยของโลท พระเจ้าได้ทรงเตือนคนของพระองค์เกี่ยวกับวันพิพากษาที่น่ากลัวต่อเมืองโสโดมล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งคนอื่น ๆ ที่ได้รับการเตือนต่างก็ไม่คิดทำการใด ๆ ต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้ล่วงหน้านั้นอีกด้วย ความจริงแห่งประวัติศาสตร์ที่ว่าพระเจ้าได้เตือนอับราฮัมและโลทอีกครั้งล่วงหน้านั้นแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะเปิดเผยช่วงเวลาวาระสุดท้ายในทำนองเดียวกันนี้ก่อนที่วันพิพากษามาถึง และยังคงมีข้อความจากพระคัมภีร์อีกมากให้พวกเราได้ไคร่ครวญ

ขโมยในเวลากลางคืน

ผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นชาวคริสเตียนหลายคนที่ยังมีความคิดผิด ๆ ที่ว่าพระเยซูจะมาเยือน “ราวกับขโมย” เพื่ออำนวยพรและให้รางวัลแห่งชีวิตอมตะแก่พวกเขา แต่ พวกเขาเหล่านั้นเอาความคิดที่ว่าขโมยมาเพื่ออวยชัยให้พรนี้มาจากที่ไหนกัน? พระคัมภีร์บอกเราอย่างชัดเจนว่าขโมยที่ว่านั้นมาทำอะไร :

ยอห์น 10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย…

สำหรับคนของพระเจ้าแล้วพระเยซูไม่ได้มาอย่างไร้การคาดหมายเหมือนขโมย (ดูตัวอย่างจาก โนอาห์ อับราฮัม โลท เป็นต้น) แต่ พระองค์มาเหมือนกับขโมยสำหรับเหล่าคนทั้งหมดบนโลกที่ไม่ได้รับการช่วยหลือ :

1 เธสะโลนิกา 5:2-3 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น

เพราะพระเจ้ากำลังอธิบายว่า “ความพินาศทันใด” ก็จะมาถึงเขาและประกาศว่า “เขาจะหนีก็ไม่พ้น” มันช่างชัดเจนเป็นอย่างมากที่ “คนอธรรม” อยู่ในนั้นด้วยสำหรับพวกเขาแล้วพระเยซูคริสต์มาเยือน “เหมือนขโมย” เพื่อฆ่าและทำลาย แต่ให้สังเกตคำสอนต่อไปนี้ :

1 เธสะโลนิกา 5:4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว เพื่อวันนั้นจะไม่มาถึงท่านอย่างขโมยมา

พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนของพระเจ้าจะไม่รู้สึกประหลาดใจ พวกเขาจะประหลาดใจได้อย่างไรเล่าเนื่องจากพระเจ้าจะไม่ทรงทำอะไรโดยไม่เตือนคนของพระองค์ก่อน พระองค์ทรงเตือนโนอาห์ พระองค์ทรงเตือนอับราฮัม พระองค์ทรงเตือนโลท ใครจะไปสามารถคิดได้อย่างไรเล่าว่าพระองค์จะเตือนคนของพระองค์ในรูปแบบที่ไม่แข็งกร้าวมากนักเกี่ยวกับวันพิพากษาโดยไม่ได้ดำเนินตามรูปแบบของพระองค์และ พระองค์ทรงเตือนมนุษย์บนโลกประมาณ 7 พันล้านคนถึงวันพิพากษที่แท้จริง? ยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าพระเยซูเคยตรัสสั่งให้เขาทั้งหมดนั้น “ระวัง” เพราะพวกเขาไม่รู้เวลาที่พระองค์จะมาเยือน พระคริสต์มาราวกับขโมยสำหรับผู้คนที่ไม่ได้ระวังเท่านั้น :

วิวรณ์ 3:3 … ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร

กล่าวคือ พระคริสต์เคยตรัสสั่งผู้เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจให้เฝ้ามองดู (ระวัง) ในพระคัมภีร์ คนของพระองค์ได้เคยศึกษาพระวจนะของพระองค์ นี่ก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพระองค์จะทรงเปิดดวงตาของพวกเราให้เข้าใจในพระวจนะที่ถูกประทับปิดผนึกไว้ ดังนั้นผู้ที่คอยระวังจะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ พระคริสต์สำหรับพวกเขาแล้วพระองค์ไม่ได้มา “เหมือนขโมยในเวลากลางคืน” พระองค์มา “เหมือนขโมย” สำหรับพวกที่ยืนกรานว่าเราไม่สามารถรู้เวลาการมาของพระเจ้าเท่านั้น การยืนกรานที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เวลาแห่งวาระสุดท้าย เหล่าศาสนจักรกำลังชี้ให้เห็นว่าพวกเขาอยู่ในความมืดมนและไม่มีความตั้งใจที่จะเฝ้าระวัง มันเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ยังยืนกรานอย่างดื้อดึงว่าเราไม่สามารถรู้ช่วงเวลาวาระสุดท้ายได้ นี่ก็เพราะว่าเมื่อพระเยซูมาหาพวกเขา มันจะเหมือนเช่นเดียวกับ “ขโมย” และพวกเขาจะโดนทำลายโดยทันทีไม่อาจหลบหนีจากคำพิพากษาที่น่ากลัวของพระเจ้าได้ ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้ให้กำลังใจอย่างแรงกล้าแก่เราแต่ละคนผ่านทางตัวอย่างในพระคัมภีร์เกี่ยวกับชาวเมืองนีนะเวห์ ผู้คนในเมืองนี้ต่างก็ได้ยินคำเตือนของพระเจ้าเช่นกันเกี่ยวกับวันพิพากษาที่กำลังใกล้เข้ามา

กรณีของชาวเมืองนีนะเวห์

พระเจ้าเคยส่งนักพยากรณ์โยนาห์ไปยังเมืองนีนะเวห์เพื่อที่จะนำข่าวอันเหลือเชื่อที่มีเพียงประโยคเดียว :

โยนาห์ 3:4 โยนาห์…ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ

มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น! นั่นเป็นข้อความทั้งหมดที่พระเจ้าสั่งให้โยนาห์นำมาบอกแก่ชาวเมืองนีนะเวห์ ข้อความนี้มีส่วนสำคัญอยู่สองส่วนคือ เวลา (40 วัน ) และ การพิพากษา (ถูกคว่ำ) แน่นอน บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ที่แท้จริงนี้ที่พระเจ้าได้ส่งโยนาห์มาเตือนชาวเมืองนีนะเวห์ควรถูกเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่ง รูปแบบของพระเจ้าในพระคัมภีร์เพื่อเตือนผู้คนล่วงหน้าถึงการนำความกริ้วของพระองค์มาสู่พวกเขา ช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งกับคำสอนต่อไปนี้ที่เราพบในพระคัมภีร์ :

โยนาห์ 3:5 ฝ่ายประชาชนนครนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า…

ลองมาดูสิ่งนี้จากมุมมองของมนุษย์ ชาวนีนะเวห์เป็นชาวเมืองแอสซีเรีย โยนาห์ไม่ใช่ชาวแอสซีเรีย โดยปกติแล้วเขาไม่ได้พูดภาษาแอสซีเรีย ไม่ใช่เพียงแค่เขามาจากชาติอื่นเท่านั้น แต่มาจากชาติที่เป็นศัตรูกัน ทันทีที่มีคนแปลกหน้ามาปรากฏตัวและประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ

คุณคิดว่าจะมีการโต้ตอบอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่ชาวเมืองนีนะเวห์จะมีให้ ไม่ว่าจะเป็น การเยาะเย้ย หัวเราะเยาะ หรือไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง? ในโลกยุคปัจจุบันของเรา เราอาจคิดว่า “มีแต่พวกโง่ที่หลอกลวงได้ง่าย ๆ เท่านั้นที่หลงเชื่อข้อความแบบนี้! ” ใช่ ทุกวันนี้เราสามารถคิดได้อย่างง่ายดายจากหลากหลายเหตุผลว่าทำไมคนถึงจะไม่เชื่อบางสิ่งบางอย่างที่ช่างน่าหัวเราะเยาะเสียนี่กระไร แต่ชาวนีนะเวห์กลับเชื่อ อะไรที่ทำให้ชาวนีนะเวห์เชื่อว่าอาจเป็นไปได้ที่ข่าวน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นความจริงและมาจากพระเจ้าจริง ๆ ? แน่นอนว่า มันไม่ได้มีหลักฐานที่มากมายนัก โยนาห์ไม่ได้มาพร้อมกับสารานุกรมการศึกษา การสอนแห่งพระคัมภีร์และวางมันไว้ที่ธรณีประตูของชาวเมืองนีนะเวห์ ไม่ใช่! เขาเพียงแค่พูดประโยคเดียวเท่านั้น- ซึ่งเป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุด - แต่พวกเขาก็ยังเชื่อ :

มัทธิว 12:41 ชนชาวนีนะเวห์ จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์…

ในปัจจุบันคุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.2011 ว่าเป็นวันพิพากษาหรือวันสิ้นโลก บางทีคุณอาจได้ยินเกี่ยวกับหลักฐานทางพระคัมภีร์มามากแล้วก็เป็นได้ แต่คุณก็ยังคงไม่เชื่อพระเจ้า คุณต้องการให้มีการพิสูจน์มากไปกว่านี้ใช่หรือไม่? ชาวเมืองนีนะเวห์ไม่ได้มีข้อมูลมากมายก่ายกองเหมือนที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน พวกเขามีเพียงแค่หนึ่งคำกล่าวของพระเจ้าที่ให้ยึดถือ ทุกวันนี้พวกเราสามารถให้ข้อมูลมากมายที่มาจากพระคัมภีร์แก่ผู้คนทั่วไปได้ ( ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วันพิพากษาที่จะมาถึงในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.2011 หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก แฟมิลี่เรดิโอ EBF เราขอแนะนำหนังสือแจกฟรี “We Are Almost There!” พวกเราเกือบจะอยู่ที่นั่นแล้ว!) จ่าหน้าซองถึง ; Family Radio, Oakland, CA 94621 USA หรือ อ่านได้ที่เว็บไซต์ www.familyradio.com ) แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มากมายนี้ก็จะยังไม่ทำให้ใครเชื่อได้ พระเยซูมุ่งเน้นให้เห็นสิ่งนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า :

ยอห์น 8:47 ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง เพราะท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า"

กรุณาจดจำความร้ายแรงอันถึงแก่ชีวิตของชาวเมืองนีนะเวห์ที่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าและลงมือปฏิบัติตามอย่างเร่งด่วน :

โยนาห์ 3:6-8 กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า …พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า… ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว…

ความเข้าใจเวลาและการพิพากษา

เนื่องจากพวกเราได้พิจารณาประวัติศาสตร์แห่งพระคัมภีร์ และเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงได้ย้ำบอกคนของพระองค์ถึงเวลาแห่งการพิพากษาที่ใกล้มาถึงก่อนที่วันพิพากษาหรือวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นจริง ๆ สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นอย่างคงเส้นคงวาในประวัติศาสตร์แห่งพระคัมภีร์จนสามารถพูดได้ว่าป็นหลักแห่งพระคัมภีร์ เหมือนที่ใน อาโมส 3:7 บอกไว้ว่า “แท้จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะมิได้ทรงกระทำอะไรเลย โดยมิได้เปิดเผยความลึกลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์

ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้แบ่งมนุษยชาติออกเป็นสองกลุ่ม พระองค์เอ่ยถึงกลุ่มที่พระองค์จะช่วยเหลือเป็น “ผู้ที่ฉลาด” และกลุ่มที่พระองค์จะไม่ช่วยเป็น “ผู้ที่โง่เขลา” พระองค์ยังได้บรรยายทั้งสองกลุ่มว่าเป็น “ ธรรม ” และ “อธรรม ” ความแตกต่างระหว่างทั้งสองกลุ่มไม่มีอะไรต้องทำเกี่ยวกับสติปัญญาหรือความฉลาดหรือคุณความดีของมนุษย์แต่อย่างใด จัดกลุ่มได้ง่าย ๆ โดยถ้าพระเจ้าช่วยเหลือและให้พลังแห่งพระคริสต์แก่พวกเขา ผู้นั้นเป็นคนฉลาด (และประกาศว่าเป็นผู้มีธรรม ) ถ้าผู้ที่พระองค์ไม่ได้ช่วยเหลือนั้นจัดป็นผู้ที่โง่เขลา หรือ อธรรม เพราะว่าพวกเขาไม่มีพลังแห่งพระคริสต์ (ปัญญา) ถ้าพวกเรายึดถือความหมายของพระคัมภีร์เป็นปัญญาไว้ในใจ มันจะช่วยให้พวกเราเข้าใจในคำสอนต่อไปนี้ได้เป็นอย่างมาก :

ดาเนียล 12:9-10 …พระองค์ตรัสว่า "ดาเนียลเอ๋ย ไปเถอะ เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้นก็ถูกปิดไว้แล้วและถูกประทับตราไว้จนถึงวาระสุดท้าย… ไม่มีคนชั่วสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนที่ฉลาดจะเข้าใจ

โดยแท้จริงทั้งหมดแล้ว มันเป็นความตั้งใจของพระเจ้าในการประทับตราปิดผนึกพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์) ไว้จนกระทั่งวาระสุดท้าย แต่เมื่อสังเกตดู พระองค์ชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีคนชั่วสักคนหนึ่ง” จะสามารถเข้าใจได้ เข้าใจอะไร? ก็พระองค์กำลังหมายความถึงความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าซึ่งจะถูกเปิดผนึกในวาระสุดท้าย สำหรับผู้ที่พระองค์ไม่ช่วยเหลือนั้น จะไม่มีใครเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกันกับผู้คนในสมัยของโนอาห์ที่ไม่ใส่ใจคำเตือนเรื่องน้ำท่วมและเช่นเดียวกันกับลูกเขยของโลทที่เพิกเฉยต่อคำเตือนของพวกเขาที่ให้หลบหนีออกจากเมือง เช่นเดียวกันกับปัจจุบัน ผู้ที่พระองค์ไม่ช่วยเหลือนั้นไม่มีใครเลยจะเข้าใจ; อย่างไรก็ตาม “คนฉลาด” ย่อมจะเข้าใจ “คนฉลาด” เข้าใจเพียงเพราะว่าเป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์ทรงตรัสความจริงนี้อีกครั้งหนึ่งในคำสอนที่แสนวิเศษเหล่านี้ :

ปัญญาจารย์ 8:5 …และจิตใจของคนที่มีสติปัญญาก็เข้าใจทั้งวาระและคำตัดสิน

สุภาษิต 28:5 คนชั่วร้ายไม่เข้าใจความยุติธรรม แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเยโฮวาห์เข้าใจสิ่งสารพัด

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าพวกเรารู้ว่าวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เป็นวันพิพากษาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าเปิดดวงตาของพวกเขาให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ถ้าพระองค์เปิด พวกเราจะรู้ว่าวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เป็น วันแห่งพระพิโรธ ถ้าพระองค์ไม่เปิดดวงตาพวกเรา พวกเราก็จะไม่รู้ พระคัมภีร์บอกให้เรารู้ว่าผู้คนส่วนมากในโลกนี้ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อช่วยให้พันภัย นี่เองเป็นเหตุว่าทำไมพระคริสต์ถึงมาปรากฏอย่างไม่มีใครคาดคิดเพื่อช่วยเหลือคนหลายพันล้านคน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่มีพลังแห่งพระเจ้า พวกเขาจะไม่ได้รับคำเตือนและพวกเขาจะไม่เข้าใจ ช่างน่าเศร้าที่พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน :

เอเสเคียล 33:4-5 เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ยินเสียงแตรแต่ไม่นำพาต่อเสียงตักเตือน และดาบนั้นก็มาพาเอาคนนั้นไปเสีย ให้โลหิตของคนนั้นตกบนศีรษะของคนนั้นเอง… แต่ ถ้าเขาได้นำพาต่อเสียงตักเตือนแล้วเขาจะได้ช่วยชีวิตของตนเองให้รอดพ้น

คนของพระเจ้า ( เช่นเดียวกับชาวเมืองนีนะเวห์ ) รู้ว่าเหล่านั้นเป็นจริงและเชื่อถือได้เพียงเพราะว่าข้อมูลนี้มาจากพระคัมภีร์โดยตรง ผู้คนจำนวนมากกำลังเชื่อศาสนจักรหรือบาทหลวงของพวกเขาผู้ซึ่งจะบอกอย่างมั่นใจว่าไม่ให้พวกเขากังวลเกี่ยวกับวันดังกล่าว แต่ไม่มีสิ่งไหนเลยที่น่าเชื่อถือได้ ความจริงคือว่าสิ่งที่น่าเชื่อถือในโลกนี้คือพระคัมภีร์ นี่เองที่ทำให้พวกเราเข้ามาใกล้วันที่ 21 พฤษภาคม ในปี ค.ศ. 2011 คำถามที่สำคัญสำหรับแต่ละคนก็คือว่า “ คุณเชื่อพระคัมภีร์ หรือ คุณเชื่อสิ่งอื่น? ”

สุภาษิต 3:5 จงวางใจในพระเยโฮวาห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง

เพลงสดุดี 119:42 …เพราะข้าพระองค์วางใจในพระวจนะของพระองค์

 


 

แวะเยี่ยมชมเว็บไซต์ทางอินเตอร์เน็ตได้ที่ :

www.ebiblefellowship.com

บริการโทรฟรีภายในประเทศถึง EBF ที่หมายเลข : 1-877-897-6222 (เฉพาะสหรัฐอเมริกาเท่านั้น)

หรือ เขียนจดหมายส่งมาที่ :

EBible Fellowship, P.O. Box 1393, Sharon Hill, PA 19079 USA

กิจการ 17:30-31 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่พระเจ้าทรงมองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ : เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา…

WeCanKnow.1.18.2010-Thai